ณ เวลานี้เชื่อได้ว่า “อารมณ์คนไทย” คงมีอุณหภูมิความร้อนไม่ต่างจากอุณหภูมิอากาศโดยทั่วไป โดยเฉพาะ บรรดาผู้มีรายได้น้อย รากหญ้า รากแก้ว ทั้งหลายที่ต่างรู้สึกว่าเงินในกระเป๋ากำลังแฟบลงๆ ในทุกขณะ แม้ว่าหลายหน่วยงานวิจัยต่างออกมาการันตีว่าเศรษฐกิจไทยกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องก็ตาม

เรื่องนี้ไม่มีใครคัดค้าน!! เพราะในภาพรวมแล้วรัฐบาล “บิ๊กตู่” อัดเงินเทเงินงบประมาณลงไปเป็นจำนวนมาก แถมยังไล่บี้ให้ส่วนราชการ เร่งเบิกจ่ายเงินที่ได้รับจัดสรรให้ได้มากที่สุด แต่!!สุดท้ายแล้วบรรดาชาวบ้านชาวช่อง ยังไม่มีเงินมากมายเหลือเฟือเพียงพอที่จะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นได้ดั่งที่ใครต่อใครคาดหวังกันไว้

ที่สำคัญ…เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าผู้นำประเทศอย่าง “บิ๊กตู่” เขาจะไม่รู้หรอกนะ เพราะในที่ประชุมครม. นายกฯ เองยังยกขึ้นมาสอบถามว่า...ในภาพรวมแล้วเศรษฐกิจของประเทศก็เดินหน้าไปได้ด้วยดี แต่ทำไมเกษตรกรของเรายังยากจนอยู่??

และถ้าคน 60-70% ของประเทศ ยังมีฐานะความเป็นอยู่ไม่ดีขึ้น ก็อย่าไปหวังเลยว่า... “เศรษฐกิจในภาพรวมจะเดินหน้าต่อไปได้อย่างดี อย่างรวดเร็ว หรือมั่งคั่ง”

ด้วยเหตุนี้…กัปตันทีมเศรษฐกิจอย่าง สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ จึงต้องเรียกหน่วยงานในสังกัดมาระดมสมอง เพื่อหาทางกระตุ้นให้คนเหล่านี้มีกำลังวังชา มีกำลังการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นให้ได้ หรืออย่างน้อยในช่วงเฉพาะหน้า เฉพาะสั้นๆ ที่จะทำให้ “รากแก้ว รากหญ้า” มีกำลังใจ และมีความรู้สึกว่า...รัฐบาลไม่ได้ทอดทิ้งหรือมีความรู้สึกว่ารัฐบาลช่วยแต่คนมีอันจะกิน แต่ในระดับล่างกลับไม่มีอะไรดีขึ้น

การสร้างกำลังใจ การกระตุ้นความรู้สึกครั้งนี้ จึงกลายเป็นที่มาของแนวคิดการ

“แจกเงิน” เพื่อเติมให้เต็ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีรายได้ไม่เกินปีละ 30,000 บาท ที่ถือว่าเป็นคนที่ยากจนอย่างแท้จริง ส่วนวิธีการแจกเงินจะเป็นอย่างไร ขั้นตอน วิธีการ หรือกระบวนการยังอยู่ระหว่างการเตรียมการของ กระทรวงการคลัง ที่เป็นหัวเรือใหญ่ ในการดำเนินการ ซึ่งต้องรอดูว่าจะออกมาเมื่อไหร่?

เพราะ…ในช่วงนี้รัฐบาลยังอยู่ในช่วงของการเปิดให้เข้ามา “ลงทะเบียนคนจน” ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 15 พ.ค.นี้ ซึ่งต้องดูในรายละเอียดว่าจำนวนผู้มีรายได้น้อยที่มีเงินได้ต่ำกว่า 30,000 บาท นั้นมีจำนวนมากน้อยอย่างไรกันแน่ จะมีถึง 4 ล้านคน ตามที่คาดการณ์กันไว้หรือเปล่า??

หากจำกันได้ก่อนหน้านี้ รัฐบาลของลุงตู่ ก็ได้ใช้วิธีแจกเงินให้กับผู้ที่มีรายได้น้อยไม่เกินปีละ 30,000 บาท มาแล้วเมื่อปลายปีที่แล้วจำนวนคนละ 3,000 บาท และคนละ 1,500 บาท หากมีรายได้เกินกว่า 30,000 บาท แต่ไม่เกิน 1 แสนบาท

โดยนโยบายนี้…ก็ถูกชำแหล่ะ ถูกวิพากษ์วิจารณ์ กันมากมาย ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แม้ดูเหมือนว่าฝ่ายไม่เห็นด้วยจะมีมากกว่าก็ตาม ตามประสาสังคมไทย!!!

อย่าลืมว่า...!! ในหลายเหตุผล หลายปัจจัย การประคับประคองเศรษฐกิจในแต่ละช่วงเวลาก็มีความยากง่าย ความแตกต่างกันไป แล้วแต่ว่ารัฐบาลไหนจะเฮง รัฐบาลไหนจะซวย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีปัจจัยโลกที่ไม่สามารถควบคุมได้เข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญ ยิ่งทำให้เกิดความยากกับการนำพาประเทศ

ปัญหาที่รู้กันอยู่เต็มอกในเวลานี้ แม้เศรษฐกิจจะกระเตื้อง จะผงกหัวขึ้นได้บ้าง โดยเฉพาะในภาคการส่งออก ที่เป็นไปตามเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้น หลังจากจมดิ่งมาเป็นเวลานาน แถมยังเป็นรายได้หลักของประเทศ แต่การกระเตื้องขึ้นของเศรษฐกิจในครั้งนี้ ยังเป็นการกระเตื้องแบบกระจุกตัว เป็นเพียงบางกลุ่มบางชนชั้น ที่ได้รับผลประโยชน์เท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าเศรษฐกิจเริ่มกระเตื้อง แล้วทุกคนจะได้ประโยชน์ทั้งหมด

เช่นเดียวกับเกษตรกร ที่แม้สินค้าเกษตรหลายตัวดีขึ้น แต่ก็มีอีกหลายตัวที่ยังซบเซา ทั้งข้าว ทั้งมันสำปะหลัง ที่ยังได้รับผลกระทบจากราคาผลผลิตตกต่ำ จึงทำให้เศรษฐกิจในฐานรากไม่สามารถหมุนไปข้างหน้าได้ จึงกลายเป็นกับดัก ที่ยิ่งใหญ่ กับการทำให้เศรษฐกิจทั้งประเทศดีขึ้น!!!

การที่กัปตันทีมเศรษฐกิจ ต้องหันมาใช้เรื่องของการแจกเงิน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้ง แม้จะรู้ว่าจะถูกแรงวิพากษ์วิจารณ์เข้ามาอีกระลอก แต่ก็ถือว่าเป็นการมุ่งหาวิธี มุ่งหาแนวทาง เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับคนที่เดือดร้อนอย่างแท้จริง

ส่วนผลที่ตามมาจะออกมาสวยหรู จะช่วยกระตุ้นกระตุกอารมณ์ของ “คนยากจน” ได้มากน้อยเพียงใด คงต้องรอดูกันต่อไปว่า...ความสัมฤทธิ์ผลของการแจกเงินครั้งนี้จะเป็นอย่างไร?

From: http://www.siamvariety.com/view-18537.html

Cr:http://khaolasods.blogspot.com/2017/05/blog-post_73.html?m=1